ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory) และ ทฤษฎีต้นทุนตัวแทน ( Agency Theory)
ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory) และ ทฤษฎีต้นทุนตัวแทน ( Agency Theory)
ต้นทุนธุรกรรม (Transaction Cost) หรือ
ต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการโดยตรง
แต่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตและการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการนั้น เช่น
ค่าสืบหาข้อมูลข่าวสาร ค่าเจรจาต่อรอง ค่าขนส่งสินค้า ค่าคอมมิสชั่น
เป็นต้น การผลิตและการแลกเปลี่ยนในอุดมคติต้องมีต้นทุนธุรกรรมต่ำที่สุด
และกฎกติกาที่ดีคือกฎกติกาที่ทำให้เกิดต้นทุนธุรกรรมต่ำที่สุด
สำหรับทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการนำ IT ไปใช้ในการลด cost ได้แก่
• ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory)
ค่าใช้จ่ายหลักๆอันเนื่องมาจากการทำธุรกรรม (Transaction) เช่น การค้นหาข้อมูล (customers, suppliers, products) การ
ติดต่อสื่อสาร หรือการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจ โดยในอดีต
ทั้งนี้องค์กรขนาดเล็กมักจะเสียเปรียบในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลเนื่องจากมี
จำนวนพนักงานน้อย หากต้องการพัฒนาศักยภาพการเข้าถึงข้อมูล
จำเป็นต้องขยายขนาดขององค์กร แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีจาก internet ทำให้องค์กรขนาดเล็กมีศักยภาพการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้นโดยไม่มีความจำเป็นต้องขยายขนาดองค์กร และสามารถลด Transaction Cost ได้
•ทฤษฎีต้นทุนตัวแทน ( Agency Theory)
กล่าง
ถึงการควบคุมการทำงานของพนักงานในองค์กร
เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร
โดยทั่วไปองค์กรที่มีพนักงานจำนวนมากจะมีต้นทุนส่วนนี้สูงกว่าองค์กรขนาด
เล็ก บทบาทของ IT ที่เข้ามาช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้โดยการพัฒนาระบบ Telecommunication ทำให้ติดต่อสื่อสารกับพนักงานสะดวกขึ้น เช่น พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้ามารายงานที่ office และ ทำให้ระบบตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้น
Agency
Theory
ระบุว่าองค์กรต้องลงทุนในด้านของค่าใช้จ่ายในการควบคุมการทำงานของพนักงาน
โดยอาจจ้าง Middle Manager
เพื่อให้คำแนะนำกับพนักงานในการทำงานให้ตรงตามวัตถุประสงค์และเป็นประโยชน์
ต่อองค์กร ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกว่า Agency Cost
ในองค์กรขนาดเล็กจะเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่มากแต่เมื่อองค์กรขยายขนาดใหญ่
ขึ้นก็จะมี Agency Cost สูงขึ้นตามไปด้วย
ในปัจจุบันบทบาทของ IT ที่เข้ามาในองค์กรก็จะช่วยลด Agency Cost ได้
เนื่องจากองค์กรสามารถที่จะใช้ IT ควบคุมพนักงาน,
สร้างระบบสื่อสารให้พนักงานทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์
เน็ตได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ออฟฟิศ เช่น บริษัท Messenger
แห่งหนึ่งไม่มีออฟฟิศ
พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตโดยองค์กรไม่ได้วัดจาก
เวลาที่อยู่ในออฟฟิศแต่จะวัดผลการทำงานผ่าน output ที่ออกมาจากพนักงาน
รูป
แบบใหม่ขององค์กรที่ใช้ IT
มักเป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูงและใช้เทคโนโลยีค่อนข้างมาก
ที่ชัดเจนในไทยคือ KTC เป็นองค์กรที่ไม่มีออฟฟิศ
มีเพียงห้องที่ใครจะนั่งทำงานตรงไหนก็ได้
จากทฤษฎีดังกล่าว สามารถกำหนดกลยุทธองค์กรและกลยุทธ์สารสนเทศ ซึ่งทฤษฎีนี้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐศาสตร์
ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory) เทคโนโลยี
สารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนธุรกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการอุตสาหกรรม
จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
โดยเฉพาะลดต้นทุนธุรกรรม
คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ
เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา
ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทำให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ
ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและการตัดสินใจ
ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทำงาน
เพื่อความรวดเร็วและต้นทุนที่ประหยัดที่สุด เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด
ระบบจัดการลูกหนี้ เป็นต้น
ทฤษฎีต้นทุนตัวแทน ( Agency Theory) องค์การ
แบบเดิมลักษณะของงานจะคงที่ พนักงานแต่ละคนจะได้รับมอบหมายงานเฉพาะ
และทํางานในกลุ่มเดิมไม่ค่อยเปลี่ยน
แต่ในองค์การสมัยใหม่พนักงานต้องเพิ่มศักยภาพของตนที่จะเรียนรู้และสามารถ
ทํางานที่เกี่ยวข้องได้รอบด้าน
และมีการสับเปลี่ยนหน้าที่และกลุ่มงานอยู่เป็นประจํา ตัวอย่างเช่น
ในบริษัทผลิตรถยนต์ พนักงานในแผนกผลิต
ต้องสามารถใช้งานเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ด้วย
ซึ่งในคำบรรยายลักษณะงาน (job description) เดียวกันนี้เมื่อ 20
ปีก่อนไม่มีการระบุไว้ดังนั้นในองค์การสมัยใหม่จะพัฒนาบุคลากรให้เพิ่มทักษะ
การทํางานได้หลากหลายมากขึ้น และในการพิจารณาค่าตอบแทนการทํางาน (compensation) ในองค์การสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะตอบแทนตามทักษะ (skill based) ยิ่งมีความสามารถในการทํางานหลายอย่าง มากขึ้นก็ได้ค่าตอบแทนมากขึ้น แทนการให้ค่าตอบแทนตามลักษณะงานและหน้าที่รับผิดชอบ (job based)
องค์การ
แบบเดิม พนักงานจะทํางานในสถานที่ทํางานและเป็นเวลาที่แน่นอน
แต่ในองค์กรสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะให้อิสระกับพนักงานในการทํางานที่ใดก็ได้
เมื่อไรก็ได้ แต่ต้องได้ผลงานตามที่กําหนด
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเอื้อให้สามารถสื่อสารถึงกันได้แม้ทํางานคนละ
แห่ง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
และโลกาภิวัตน์ทําให้คนต้องทํางานแข่งกับเวลามากขึ้นจนเบียดบังเวลาส่วนตัว
และครอบครัว
ดังนั้นองค์การสมัยใหม่จะให้เกิดความยืดหยุ่นในการทํางานทั้งเรื่องเวลาและ
สถานที่เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มวิถีการดําเนินชีวิตของพนักงานยุคใหม่